"จะได้เก่งเหมือนพ่อ จะได้แกร่งเหมือนแม่"
เป็นคำพูดของแม่ที่ฉันได้ยินจนติดหู...
ก่อนหน้านี้..ฉันเคยสงสัย...ว่าทำไม
พ่อกับแม่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแท้ๆ
แต่ก็ยังต้องทำงานก่อสร้างแบบลูกจ้างทั่วไป
และยังให้ลูกๆทุกคน รวมถึงฉันด้วย
ที่จะต้องมาหิ้วปูนและทำงานก่อสร้างในวันหยุดเรียน และหลังเลิกเรียน
แต่คำพูดของแม่...ก็ทำให้ฉันคลายความสงสัย
ว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่แม่ต้องการจะบอกคืออะไร
"ถ้าเราไม่ทำให้เค้าเห็นก่อนว่าเราทำได้ แล้วเราจะไปสั่งให้เค้าทำได้ยังไง
เอาน่า... จะได้เก่งเหมือนพ่อ จะได้แกร่งเหมือนแม่
ถ้าหนูไม่อยากทำงานก่อสร้าง หนูก็ต้องตั้งใจเรียนนะลูก"
แม่พูดกับฉันทุกครั้งเวลาที่ฉันบ่นว่าเหนื่อย
แม่ของฉัน ไม่เคยได้แม่ดีเด่น จากสำนักงานหรือหน่วยงานไหนๆ
แต่แม่ของฉัน เป็นแม่ที่ดีที่สุดหรับหรับฉัน
แม่..ไม่ได้ให้เพียงแค่ชีวิตสำหรับฉัน แต่ยังสอนให้ฉันใช้ชีวิต
รู้จักความลำบาก เพื่อที่จะเผชิญกับโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้
สอนให้ฉันเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย
อย่างที่ใครหลายๆคนไม่มีโอกาสได้เรียนรู้(งานก่อสร้างนั่นแระ)
ขอกราบขอบพระคุณแม่ ที่ให้ชีวิต ให้ความคิด ให้สติปัญญา ให้ความอดทน และให้ความรักแก่หนู
"หนูรักแม่ค่ะ"
วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ภูเก็ต...ลั้ลลา

เมื่อวันที่ 14-19 เมษายน ที่ผ่านมา ฉันได้ไปลั้ลลาอยู่ที่ภูเก็ต มันช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ ก้าวแรกที่ฉันลงจากเครื่องบิน ฉันดีใจมากๆที่ฉันได้มาถึงภูเก็ตซักที กับช่วงเวลาในการเดินทาง ที่ยาวนานถึง 2 ชั่วโมง มองไปด้านนอกของทางออกจากเครื่อง ก็เห็นทะเลแล้ว ว้าวๆๆๆ"โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส" เสียงเพลงที่ออกมาจากปากของฉันและคนข้างกาย ^^ แล้วเราก็หัวเราะและยิ้มอย่างมีความสุข
หลังจากรับกระเป๋าแล้วเป้าหมายต่อไปคือ ไปโรงแรมที่เราได้จองไว้ ที่หาดกะตะ โดยการนั่งรถตู้ ในราคาคนละ 180 บาท และซื้อแพ็คเก็ตทัวร์ เกาะไข่ อ่าวมาหยา เกาะพีพี และดำน้ำดูปะการัง ในราคาคนละ 1600 บาท หลังจากนั้นเราก็ไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ เราได้นั่งด้านหน้า ข้างๆคนขับเมื่อรถออกไปซักครู่ก็เกิดการพูดคุย ระหว่างคนขับรถและคนข้างๆเรา และแล้วเรื่องที่เรากังวลใจ ก้หมดไป นั่นก็คือ เรากังวลว่าจะหาเช่ารถไม่ได้ เนื่องจากเราไม่มีบัตรเครดิต แต่พอได้คุยกับคนขับรถเค้าก็ได้แนะนำให้และเค้าก็จอดรถทิ้งเราไว้ข้างทาง พระเจ้า!!!แดดร้อนมากๆ สองคนมองหน้ากันแล้วพูดว่า "เราโดนทิ้งแล้ว" แต่อีกไม่นานก็มีคนมารับเรา นั่นก็คือบริษัทที่เช่ารถ ชั่งเป็นความประทับใจตั้งแต่วันแรกที่ภูเก็ตเลย ที่เจอคนใจดีเยอะแยะมากมาย และจิงใจกับเรา
หลังจากเราได้รถแล้ว ฉันก็ทำหน้าที่บอกทางโดยมีแผนที่หนึ่งใบกับการเดาสุ่ม เพื่อที่จะไปยังโรงแรม ฮ่าๆๆและก็ถึงจนได้ โรงแรมสุดหรู ที่กะตะ โอ้ว สระว่ายน้ำ ทะเล เย้ๆๆๆ
พอถึงที่พักเรียบร้อย เก็บของแล้ว เราก็เปลี่ยนใส่รองเท้าสีสดใส แล้วก้าวออกไปยังแหลมพรหมเทพ แต่ว่า...ไม่ทันถึงพระอาทิตย์ก็ตกดินไปซะก่อน เราจึงกลับมาหาอาหารกินที่หาดกะรน โหะๆมื้อแรก ก็ นะ งั้นๆ เอาเป็นว่าเล่าแค่นี้ก่อนดีก่า
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
อาวรูปดอกไม้มาฝากกกก
ร้อนๆๆๆอากาศที่พิจิตรร้อนมากมาย เลยมานั่งเปิดรูปในคอมดูเพื่อคลายร้อน...
ทำให้นึกขึ้นได้ว่า รูปดอกไม้ชุดนี้ ยังไม่ได้เอามาอวดเลยนี่นา หุหุ แล้วก็เกิดอาการอยากอวดขึ้นมา
พอดีรูปดอกไม้พวกนี้เป็นดอกไม้ที่จัดแสดงในงานเชียงรายดอกไม้งาม มีสีสันต์สดใส ถูกใจเดี๊ยนมากมาย
*O* แต่จะถูกใจคนอื่นๆมั้ย ไปดูกันเลย...^^
ทิวลิ๊ปสีซ้ม อยู่โตยกั๋นเป็นหมู่
ดอกนี้ก็สีม่วงงงงง.....สีแห่งก๋านรอคอย(สงสัยจะคอยคนฮักปิ๊กมา หุหุ^^)
รองเท้านารี อี้ก้าหา...บ่แน่ใจ๋เต้าได แต่ชอบมากมาย...
นี่ก็รองเท้านารีสีเหลือง ถูกใจ๋คนฮักรองเท้าอย่างเฮา^^
อันนี้ซ้ำงาม...มีจุ๊ดโตยยยย
อันนี้ก็สวยบ่ก๊านไผ เก๊าะอยู่บนต้นไม้ พึ่งพาอาศัยกั๋น
เฮ้ย!!!ซ้ำก่อวะ แต่เอาน่า ชอบๆๆๆ
นี่ก็เด่นใช่เล่น ดอกอะหยังบ่ฮุ มีสองสี ชมพูกับม่วง งามจ๋น
สัปรด...อะหยังซักอย่างนี่แหละ จ๋ำบ่ได้อ่า นานๆๆๆ
อ่าวววว!!!ซ๊ดมาได้ใด อันนี้ยามแลงตี้จุดชมวิวของดอยตุง
นี่ก็แม่น...น
โอ่ย....ย ยังบ่เสี้ยงเตื่อน้อทิวลิ๊ปนี่
หั้น..แหมเมาะ
ดอกนี้ก็ชอบมากมาย คล้ายๆดอกกุหลาบ แต่บ่ใจ่ งามดีแต่มีน้อย ตี้ดอยตุง
ทำให้นึกขึ้นได้ว่า รูปดอกไม้ชุดนี้ ยังไม่ได้เอามาอวดเลยนี่นา หุหุ แล้วก็เกิดอาการอยากอวดขึ้นมา
พอดีรูปดอกไม้พวกนี้เป็นดอกไม้ที่จัดแสดงในงานเชียงรายดอกไม้งาม มีสีสันต์สดใส ถูกใจเดี๊ยนมากมาย
*O* แต่จะถูกใจคนอื่นๆมั้ย ไปดูกันเลย...^^














วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เดินทางสู่บ้านเกิด"พิจิตร"
"ไนท์ ตื่น" เสียงพี่นนท์พี่ชายคนเดียวเรียกให้ตื่นจากความฝัน ในเวลาตีสองกว่าๆ ไนท์งัวเงียลุกขึ้นเก็บมุ้งและที่นอน แล้วขนของขึ้นรถ และเข้าไปนอนในรถทั้งชุดนอน ตลอดทางไนท์เหมือนลอยอยู่บนอากาศที่แสนจะขรุขระ จนมาถึงด่านที่พะเยา เค้าก็เรียกจอดเพื่อตรวจยาเสพติด หึหึ มีไอ้เครื่องนั่นด้วย ที่มีเสาๆอะ ที่กำลังเถียงๆกันอยู่ อ่อๆทีจีหกร้อย หึหึ คุณตำรวจเค้าก็ทำมาดมั่น มีสมาธิมากมาย เดินๆขนานกับรถ หึหึ เพื่อที่จะตรวจสอบ ก็ตลกดีนะ ในขณะ ที่นักวิชาการออกมาพูดว่าใช้ไม่ได้ผล ไม่ได้มีกลไกทางวิทยาศาสตร์เล้ยยย แต่เค้าก็ยังกล้าใช้อยู่ ไม่อายเราหราาา เราก็แซวๆไปนิดนุง "เป็นใดผ่องเจ้า ป๊ะก่อ ร่างกายบ่แข็งแรงก้าาาา หึหึ" แล้วคุณตำรวจอีกคนก็เดินเข้ามาถามว่า "เอาไก่มาตวยก่อนี่ "เอามาสองตั๋วคับ เอาไปฝากอุ้ย อุ้ยผมหุม" พี่นนท์ตอบ แล้วคุณตำรวจก็พูดทำนองว่า ไม่ได้นะ เค้าห้าม อะไรประมาณนั้น พี่นนท์เลยบอกว่า "บ่เป็นหยังก้าครับ สองตั๋วบ่าดาย" พร้อมกับมองไปที่สุ่มไก่ "อะๆ อั้นขอค่าน้ำซักน้อยละกั๋น" คุณตำรวจพูด "ได้ครับ"พี่นนท์ตอบพร้อมเดินมาที่รถและหยิบเงินไปหนึ่งร้อยบาท หึหึ แล้วเดินกลับมาขึ้นรถ พอขึ้นมาก็หัวเราะร่า บอกว่า มันอยากกินน้ำเลยให้ค่าน้ำมัน หึหึ ไนท์เลยพูดไป "น้ำในรถเฮาก็มีเราะยังบ่ฮื้อมัน" แล้วจึงเอนตัวนอนต่อ ไนท์หลับมาตลอดทาง จนมารู้สึกว่ามีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์แล้ว จึงลืมตาขึ้นมอง และเห็นว่าดวงอาทิตย์กลมโตกำลังจะโผล่ขี้นสู่ท้องฟ้าที่อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก เป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจมากๆ ไนท์จำได้ว่า ไนท์ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาหนึ่งเดือนแล้ววว ล่าสุดก็คงเป็นที่ภูชี้ฟ้าเมื่อช่วงสิ้นปี นึกๆแล้วก็เสียดาย ที่นานๆทีมีโอกาสได้เจอภาพประทับใจ แต่กลับลืมเอากล้องสุดที่รักมาจนได้ น่าเขกหัวจีงๆ พระอาทิตย์สีส้มกลมโต กำลังทะยายขึ้นหลังทุ่งนาเขียวชะอุ่มสุดสายตา ที่คันนามีต้นตาลและมะพร้าวเรียงราย มีบ้านไม้สูงเดี่ยวๆ ที่หาไม่ได้จากเชียงราย แต่อย่างน้อย ภาพนี้ก็ติดอยู่ในใจของไนท์แล้วววว
อีกสักครู่ก็เดินทางมาถึงบ้านยาย "ตาสวัสดีค่ะ สวัสดีครับ" เราต่างก็พูดทักทายตา ที่มายืนรออยู่หน้าบ้าน แต่ก่อนหน้านี้ตาไร้สมองโทรมา บอกว่า"คิดถึงตุ้ยจ๋น" หุหุ ดีใจที่สุดเลยนะที่ตัวเองโทรมา เฮ้อ... ถึงบ้านเกิดซักที บ้านที่มีแต่ภาพความทรงจำเก่าๆ เสียงหัวเราะของเด็กสองคนพี่น้องและตากับยายที่คอยกระเซ้าเย้าแหย่ด้วยความเอ็นดู ตาดูแก่ลงไปมาก และด้วยอาการป่วยทำให้ตาต้องใช้ไม้เท้า เพราะว่าผ่าตัดหลังมา และวันนี้เอง ที่ตาจะต้องไปตัดไหม เราจึงช่วยกันขนของลงจากรถเพื่อที่จะไปส่งตา "โอ้โห...นนท์ ไหนบอกว่าเอาไก่มาแค่สองตัวไง นี่ไก่แปดตัว นกอีกตั้งห้าตัวนะเนี่ย " ไนท์พูดพลางยกสุ่มไก่หลังรถเปิดขึ้นดู พี่นนท์หัวเราะ พร้อมบอกว่า "มันเป็นแผน" ที่แท้มันก็เอาไก่กะนกมาขายนี่เอง...ง เหอะๆ ทางทำมาหากินจากการมาเยีี่ยมตากะยายเวอะเฮ้ย...เออดีหว่ะ อีกซักพักยายก็เข้าบ้านมากับรถมอเตอร์ไซค์คันเดิม ทรงผมเดิม แนวการแต่งตัวเดิมๆ ยายไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด "ยาย...สวัสดีค่ะ" "เออ หวัดดีหลุก "ต๋าย...น้องไนท์ ทำไมไปตัดผมซะสั้นเลยหล่ะลูก..."ยายร้องทัก " แหะๆ "เทรนใหม่ยายเทรนใหม่ เกาหลี อิอิ" แล้วยายก็เข้าครัวลงมือทำกับข้าว แล้วเราก็กินข้าวด้วยกัน ยายยังทำกับข้าวอร่อยเหมือนเดิม...แต่วันนี้ขาดพ่อกับแม่และก็น้องนุ่นที่ไม่ได้มาร่วมวงทานข้าวด้วยกัน เพราะว่าต้องทำงาน ส่วนน้องนุ่นก็ต้องไปโรงเรียน แต่ข้าวเช้ามื้อนี้ก็อร่อยที่สุดเล้ยยย^O^
อีกสักครู่ก็เดินทางมาถึงบ้านยาย "ตาสวัสดีค่ะ สวัสดีครับ" เราต่างก็พูดทักทายตา ที่มายืนรออยู่หน้าบ้าน แต่ก่อนหน้านี้ตาไร้สมองโทรมา บอกว่า"คิดถึงตุ้ยจ๋น" หุหุ ดีใจที่สุดเลยนะที่ตัวเองโทรมา เฮ้อ... ถึงบ้านเกิดซักที บ้านที่มีแต่ภาพความทรงจำเก่าๆ เสียงหัวเราะของเด็กสองคนพี่น้องและตากับยายที่คอยกระเซ้าเย้าแหย่ด้วยความเอ็นดู ตาดูแก่ลงไปมาก และด้วยอาการป่วยทำให้ตาต้องใช้ไม้เท้า เพราะว่าผ่าตัดหลังมา และวันนี้เอง ที่ตาจะต้องไปตัดไหม เราจึงช่วยกันขนของลงจากรถเพื่อที่จะไปส่งตา "โอ้โห...นนท์ ไหนบอกว่าเอาไก่มาแค่สองตัวไง นี่ไก่แปดตัว นกอีกตั้งห้าตัวนะเนี่ย " ไนท์พูดพลางยกสุ่มไก่หลังรถเปิดขึ้นดู พี่นนท์หัวเราะ พร้อมบอกว่า "มันเป็นแผน" ที่แท้มันก็เอาไก่กะนกมาขายนี่เอง...ง เหอะๆ ทางทำมาหากินจากการมาเยีี่ยมตากะยายเวอะเฮ้ย...เออดีหว่ะ อีกซักพักยายก็เข้าบ้านมากับรถมอเตอร์ไซค์คันเดิม ทรงผมเดิม แนวการแต่งตัวเดิมๆ ยายไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด "ยาย...สวัสดีค่ะ" "เออ หวัดดีหลุก "ต๋าย...น้องไนท์ ทำไมไปตัดผมซะสั้นเลยหล่ะลูก..."ยายร้องทัก " แหะๆ "เทรนใหม่ยายเทรนใหม่ เกาหลี อิอิ" แล้วยายก็เข้าครัวลงมือทำกับข้าว แล้วเราก็กินข้าวด้วยกัน ยายยังทำกับข้าวอร่อยเหมือนเดิม...แต่วันนี้ขาดพ่อกับแม่และก็น้องนุ่นที่ไม่ได้มาร่วมวงทานข้าวด้วยกัน เพราะว่าต้องทำงาน ส่วนน้องนุ่นก็ต้องไปโรงเรียน แต่ข้าวเช้ามื้อนี้ก็อร่อยที่สุดเล้ยยย^O^
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553
ปิดเทอม=O=

ปิดเทอม...หลายคนคงรู้สึกสบายๆลั้ลลาได้เต็มที่ แต่ฉันคนนึงแหละน๊า...ที่ไม่หนุกเอาซะเลย อยากไปเที่ยวถ่ายรูปก็ไม่ได้ไป อยากทำอะไรก็ยังไม่ได้ทำ ก็ไม่เริ่มต้นซักทีอะ ก็เลยเดินต่อไปไม่ได้ เฮ้อ... ปีใผม่เข้ามาหนึ่งเดือนแล้วนะเนี่ย ฉันยังทำตัวไม่มีประโยชน์เลย อยากทำให้คนที่ทำงานเหนื่อยๆเพื่อเราได้ชื่นใจ...แต่ก็นะ ความขยันมานหายไปไหน ฉันชอบถ่ายรูป ฉันชอบแต่รูปสวยๆ ฉันชอบท่องเที่ยวถ่ายรูป ชอบทำนู่นทำนี่ไม่ใช่หรอ แต่ทำไมฉันถึงยังไม่ลงมือทำมัน นี่ฉันเป็นอะไรเนี่ย สงสัยเพราะโรคขี้เกียจแน่ๆ แผนการที่วางไว้ว่าจะทำในช่วงปิดเทอม เลยผิดแผนไปหมด รวนละเนี่ย เอาไงต่อดี เหลือเวลาอีกแปดวันเอง...
แต่ปิดเทอมนี้ ฉันมีเพื่อนใหม่มาแนะนำให้รู้จัก อิอิ น้องบลายธ์ปลอมของฉัน ชื่อว่า"โดนัท" อิอิ ตอนแรกจะให้ชื่อ พริกแด้(พริกขี้หนู) แต่ฟังๆดูแล้วตลกๆ เหอะๆ เลยเปลี่ยนๆๆๆๆ ที่ฉันซื้อมันมาเพราะ ฉันไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยได้พูดได้คุยกะใคร ฉันขี้เหงา หุหุ ก็เลยอยากมีเพื่อน ฉันอยากมีนางแบบที่ฉันสามารถจักท่าทางได้ เปลี่ยนชุดตามใจ ทำผมตามชอบ นี่แหละ นางแบบน้อยของฉัน ซึ่งกว่าจะได้มา น้ำตาหมดไปเป็นลิตร หึหึ โดนด่าแล้ว โดนด่าอีก แต่สุดท้าย ก็ดื้อเอาจนได้ ^^
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553
อายุ
ทำไมหรอ...การที่คนเราจะโตหรือเรียนรู้อะไรต้องขึ้นอยู่กับอายุด้วย หลายๆครั้งที่ฉันโดนใครๆกล่าวหาว่าไม่โตซักที ไม่รู้ฟ้า(ไม่รู้จักกาลเทศะ) ไม่เข้าใจอะไรบ้างเลย และสิ่งที่ฉันพูดกับตัวเองคือ เฮ้ย..จะยี่สิบเอ็ดแล้วนะโว้ย!!! ทำไรที่สมกับอายุได้ป่าววว แต่งตัวเด็กๆ นิสัยเด็กๆขี้อ้อน ขี้งอแง พูดไม่รู้เรื่องหรอ
.....หลายคนคงไม่อยากจะโต เพราะถ้าโตแล้ววว คงมีหน้าที่รับผิดชอบอีกมากมาย ต้องทำงาน ต้องวางแผน คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ มุ่งแต่การประสบความสำเร็จ ซึ่งฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่อยากโต...==" เฮ้อ....ก็โตแล้วมันเหนื่อยนี่นา แต่สำหรับตอนนี้ ฉันอยากโตแล้วนะ ฉันอยากเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่ต้องให้ใครมาว่า ว่าไม่รู้ฟ้า คอยถามว่าเมื่อไหร่จะโตซักที ก็เพราะอะไรหล่ะ??? ฉันอยากทำให้คนที่ฉันรักสบายใจบ้าง อยากให้ใครหลายๆคนเชื่อมั่นในความเป็นฉัน อยากให้รู้ว่าฉันก็ไม่ได้ไร้สาระไปวันๆอย่างที่ใครๆคิดหรอก แต่อะไรๆมันก็ช่างเปลี่ยนยากเหลือเกิน แต่ฉันก็พยายามแล้วนา... จนตอนนี้หนึ่งอย่างที่ฉันทำได้ก็คือ...ใจเย็นลง... ไม่ใช่เด็กๆเหมือนเมื่อก่อน ที่เมื่อไม่พอใจอะไรก็ขว้างข้าวของ(เอ...หรือเพราะมีแฟนแก่..หุหุ...เกี่ยวมั้ย) ฉันโตขึ้นมาหนึ่งอย่างแล้วนะ เย้ๆๆๆฝึกบ่อยๆค่อยๆโต ฉันจะทำให้ได้นะเป็นผู้ใหญ่^^ เอ...ถ้าเป็นผุใหญ่จะมีใครกล้าว่าป่าววว!!!
.....หลายคนคงไม่อยากจะโต เพราะถ้าโตแล้ววว คงมีหน้าที่รับผิดชอบอีกมากมาย ต้องทำงาน ต้องวางแผน คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ มุ่งแต่การประสบความสำเร็จ ซึ่งฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่อยากโต...==" เฮ้อ....ก็โตแล้วมันเหนื่อยนี่นา แต่สำหรับตอนนี้ ฉันอยากโตแล้วนะ ฉันอยากเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่ต้องให้ใครมาว่า ว่าไม่รู้ฟ้า คอยถามว่าเมื่อไหร่จะโตซักที ก็เพราะอะไรหล่ะ??? ฉันอยากทำให้คนที่ฉันรักสบายใจบ้าง อยากให้ใครหลายๆคนเชื่อมั่นในความเป็นฉัน อยากให้รู้ว่าฉันก็ไม่ได้ไร้สาระไปวันๆอย่างที่ใครๆคิดหรอก แต่อะไรๆมันก็ช่างเปลี่ยนยากเหลือเกิน แต่ฉันก็พยายามแล้วนา... จนตอนนี้หนึ่งอย่างที่ฉันทำได้ก็คือ...ใจเย็นลง... ไม่ใช่เด็กๆเหมือนเมื่อก่อน ที่เมื่อไม่พอใจอะไรก็ขว้างข้าวของ(เอ...หรือเพราะมีแฟนแก่..หุหุ...เกี่ยวมั้ย) ฉันโตขึ้นมาหนึ่งอย่างแล้วนะ เย้ๆๆๆฝึกบ่อยๆค่อยๆโต ฉันจะทำให้ได้นะเป็นผู้ใหญ่^^ เอ...ถ้าเป็นผุใหญ่จะมีใครกล้าว่าป่าววว!!!
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553
สัมผัสหมอกบาง ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา ดอกไม้เมืองหนาว พร่างพราวทั่วเชียงราย
อากาศยามเช้าที่จังหวัดเชียงรายหนาวเย็นไม่ใช่เล่น ฉันพึ่งรู้ก็ตอนที่ได้พักผ่อนจากการเรียนอย่างเคร่งเครียดช่วงปลายปี ตอนที่จะออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการใหม่ๆในบ้านเกิดของตนเอง จังหวัดเชียงราย ไปพร้อมกับกล้องถ่ายรูปคู่ใจ
เทศกาลเชียงรายดอกไม้บาน
ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็น และแสงแดดอ่อนๆยามเช้า ณ ลานริมน้ำกก ดอกไม้นานาๆชนิดได้พร้อมใจกันบ้านสะพรั่งเพื่อตอนรับนักท่องเที่ยวที่มากจากทั่วสารทิศ ไฮไลท์ของงานก็คงหนีไม่พ้น ดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป และเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของประเทศฮอลแลนด์อย่างทิวลิป และขาดไม่ได้เลยนั่นก็
คือ Queen Of Night ทิวลิปดำ ซึ่งหาชมได้ยากมาก ภายในงาน มีดอกไม้นาๆชนิด หลากสีสัน อีกทั้งข่วงวัฒนธรรม ของพี่น้องชนเผ่าต่างๆ
เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ที่จอดรถสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเงินค่าจอด แต่ต้องเดินเข้าไปในงาน แต่ถ้าหากไม่อยากเดิน ก็นั่งสามล้อ ซึ่งมีคุณลุงใจดีคอยบริการอยู่ในราคาไม่แพงมาก เพียงคนละยี่สิบบาท ไม่ต้องเสียเงินเข้าชมงาน แต่ถ้าหากอยากเปลี่ยนบรรยากาศนั่งเรือชมทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำกก ก็ยอมเสียเงินซักนิดก็จะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ งานนี้ ผู้ที่ชอบดอกไม้และรักในการถ่ายรูปไม่ควรพลาดเลยจริงๆ งานมีตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม-4 มกราคม 2553 ถ้าพลาดปีนี้ ต้องรอไปอีกหนึ่งปีเลยทีเดียว
สวรรค์จำลอง วัดร่องขุ่น
เที่ยงกว่าๆ ฉันเดินทางมาเที่ยวชมสวรรค์จำลองของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่ได้บรรจงออกแบบและสร้างลวดลายศิลปะปูนปั้น ณ วัดสีขาวบริสุทธิ์แห่งนี้ วัดร่องขุ่น เมื่อใครได้เข้ามาเที่ยวชม ก็คงรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ สองข้างทางเดินที่จะขึ้นไปสู่สวรรค์จำลองนั้น ก็คือนรกจำลอง หากใครเดินขึ้นไปแล้ว อย่าได้เผลอเดินย้อนกลับเป็นอันขาด เพราะถือว่าคุณกำลังจะเดินไปลงนรก บรรยากาศรอบๆวัดก็สวยอย่าบอกใครๆ และหาไม่ได้จากที่ไหน ก็คงจะเป็นสุขาสีทองอร่ามตา ซึ่งทำเอาเราไม่กล้าปลดทุกข์กันเลยทีเดียว
แสงแรกแห่งวัน ท่ามกลางทะเลหมอก และขุนเขา
ตีสี่กว่าๆ กับแผนที่หนึ่งใบ และคนข้างกาย^^ ใจกลางอำเภอเมืองเทิง ฉันได้เดินทางมุ่งหน้าไปภูชี้ฟ้า สถานที่ชมทะเลหมอกของจังหวัดเชียงราย พอถึงทางขึ้น ต้องขึ้นรถรับจ้างขึ้นไปในราคาคนละยี่สิบบาท ผ่านเส้นทางที่สูงชัน จนไปถึงด้านบนที่จอดรถ แต่ไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวอีก 800 เมตร เสื้อกันหนาว 2 ผืน ผ้าพันคอ หมวก ขาตั้งกล้อง คือสิ่งที่ฉันเตรียมขึ้นไป กับน้ำอีกหนึ่งขวด เส้นทางแสนขรุขระ และแสนเหนื่อย จนฉันรู้สึกร้อน สองข้างทางเดินก็มีเด็กชาวเขาที่ตื่นแต่เช้ามาแสดงความสามารถเพื่อหารายได้ และประโยคหนึ่งที่เด็กชาวเขาหลายๆคนท่องเหมือนๆกันก็คือ”ถ่ายรูปกับเด็กชาวเขามั้ยคะ แล้วแต่น้ำใจจะให้ค่ะ”
พอขึ้นไปได้ไม่ไกลนัก ก็เริ่มสัมผัสถึงธรรมชาติอันงดงามแต่จะมัวช้าไม่ได้ ต้องเร่งฝีเท้าเพราะอาจพลาดการชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก ไม่ได้มีฉันคนเดียวหรอกที่กำลังมุ่งมั่นที่จะขึ้นไปชมทะเลหมอก ผู้คนประมานสามถึงสี่ร้อยคน ทยอยกันมาเรื่อยๆ ด้านบน มีจุดชมวิวหลายที่ และฉันก็เลือกที่ๆอยู่ด้านบนสุด เพราะจะได้มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน ปุยหมอกสีขาวมากมายดั่งทะเลทำให้ฉันหายเหนื่อยจากการเดินทาง และไม่นานนักแสงแรกของวันก็เริ่มสาดส่องขึ้นมาทีละนิด ทีละนิด อย่างสวยงาม เสียงชัตเตอร์ลั่นไม่หยุดจากกล้องที่มีอยู่ในมือเกือบทุกคน ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นทะเลหมอก และแสงสีทองที่สาดส่องให้ผู้ที่รอคอยได้ชื่นหัวใจ และไม่ผิดหวังที่บากบั่นขึ้นมารอชม
ชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ที่ดอยแม่สลอง
บนเส้นทางที่คดเคี้ยวแต่ไม่ถึงขนาดปาย แต่สวยงามไม่แพ้ปาย สองข้างทางที่ได้เดินทางเข้าสู้เส้นทางไปดอยแม่สลองแห่งนี้ มีแต่ขุนเขาที่สลับซับซ้อนที่เรียงตัวกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่สวยงามจนสุดจะบรรยาย ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ก็เริ่มเห็นไร่ชา ที่เป็นอาชีพหลักของคนที่นี่ และเดินทางผ่านไร่ชา101 ไร่ชาชื่อดัง จากประวัติเล่าว่าผู้ที่ริเริ่มปลูกชา ก็คือ นายพลต้วน
ไม่น่าเชื่อว่าดอยแม่สลองแห่งนี้ จะเป็นสถานที่ๆสวยงามอย่างที่ฉันและอีกหลายๆคนคาดไม่ถึง ดอกซากุระบานสะพรั่งสองข้างทางเหมือนได้ไปญี่ปุ่น ชิมชาอู่หลงที่หอมกรุ่นและมีคุณค่าจากไร่ชาต่างๆ เช่น ไร่ชา 101 ไร่ชาวังพุธตาล ที่มีสิงโตเงินสิงโตทองและกาชงชาเงินกาชงชาทองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวอีกที่หนึ่ง
มาช่วงหน้าหนาวทั้งที คงจะพลาดไม่ได้ที่จะนอนเต้นท์ และที่นี่ก็มีสถานที่ให้กางเต้นมากมาย และก็เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากๆด้วย เนื่องจากรีสอร์ทและโรงแรมต่างก็เต็มหมด
นักท่องเที่ยวต่างพากันมาสัมผัสบรรยากาศหนาว ถึงหนาวมากๆ ณ ที่แห่งนี้ และร่วมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันที่นี่ โดยมีการจุดพลุดอกไม้ไฟ และปล่อยโคมลอย ซึ่งปล่อยไปตามแรงลม และแสงเล็กๆจากโคมลอย ท่ามกลางความมืดอันกว้างใหญ่ของท้องฟ้า ก็ทำให้ฉันพบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ประทับใจไม่รู้ลืม บนดอยแม่สลองแห่งนี้
เทศกาลเชียงรายดอกไม้บาน
ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็น และแสงแดดอ่อนๆยามเช้า ณ ลานริมน้ำกก ดอกไม้นานาๆชนิดได้พร้อมใจกันบ้านสะพรั่งเพื่อตอนรับนักท่องเที่ยวที่มากจากทั่วสารทิศ ไฮไลท์ของงานก็คงหนีไม่พ้น ดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป และเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของประเทศฮอลแลนด์อย่างทิวลิป และขาดไม่ได้เลยนั่นก็
คือ Queen Of Night ทิวลิปดำ ซึ่งหาชมได้ยากมาก ภายในงาน มีดอกไม้นาๆชนิด หลากสีสัน อีกทั้งข่วงวัฒนธรรม ของพี่น้องชนเผ่าต่างๆ
เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ที่จอดรถสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเงินค่าจอด แต่ต้องเดินเข้าไปในงาน แต่ถ้าหากไม่อยากเดิน ก็นั่งสามล้อ ซึ่งมีคุณลุงใจดีคอยบริการอยู่ในราคาไม่แพงมาก เพียงคนละยี่สิบบาท ไม่ต้องเสียเงินเข้าชมงาน แต่ถ้าหากอยากเปลี่ยนบรรยากาศนั่งเรือชมทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำกก ก็ยอมเสียเงินซักนิดก็จะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ งานนี้ ผู้ที่ชอบดอกไม้และรักในการถ่ายรูปไม่ควรพลาดเลยจริงๆ งานมีตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม-4 มกราคม 2553 ถ้าพลาดปีนี้ ต้องรอไปอีกหนึ่งปีเลยทีเดียว
สวรรค์จำลอง วัดร่องขุ่น

เที่ยงกว่าๆ ฉันเดินทางมาเที่ยวชมสวรรค์จำลองของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่ได้บรรจงออกแบบและสร้างลวดลายศิลปะปูนปั้น ณ วัดสีขาวบริสุทธิ์แห่งนี้ วัดร่องขุ่น เมื่อใครได้เข้ามาเที่ยวชม ก็คงรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ สองข้างทางเดินที่จะขึ้นไปสู่สวรรค์จำลองนั้น ก็คือนรกจำลอง หากใครเดินขึ้นไปแล้ว อย่าได้เผลอเดินย้อนกลับเป็นอันขาด เพราะถือว่าคุณกำลังจะเดินไปลงนรก บรรยากาศรอบๆวัดก็สวยอย่าบอกใครๆ และหาไม่ได้จากที่ไหน ก็คงจะเป็นสุขาสีทองอร่ามตา ซึ่งทำเอาเราไม่กล้าปลดทุกข์กันเลยทีเดียว
แสงแรกแห่งวัน ท่ามกลางทะเลหมอก และขุนเขา

ตีสี่กว่าๆ กับแผนที่หนึ่งใบ และคนข้างกาย^^ ใจกลางอำเภอเมืองเทิง ฉันได้เดินทางมุ่งหน้าไปภูชี้ฟ้า สถานที่ชมทะเลหมอกของจังหวัดเชียงราย พอถึงทางขึ้น ต้องขึ้นรถรับจ้างขึ้นไปในราคาคนละยี่สิบบาท ผ่านเส้นทางที่สูงชัน จนไปถึงด้านบนที่จอดรถ แต่ไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวอีก 800 เมตร เสื้อกันหนาว 2 ผืน ผ้าพันคอ หมวก ขาตั้งกล้อง คือสิ่งที่ฉันเตรียมขึ้นไป กับน้ำอีกหนึ่งขวด เส้นทางแสนขรุขระ และแสนเหนื่อย จนฉันรู้สึกร้อน สองข้างทางเดินก็มีเด็กชาวเขาที่ตื่นแต่เช้ามาแสดงความสามารถเพื่อหารายได้ และประโยคหนึ่งที่เด็กชาวเขาหลายๆคนท่องเหมือนๆกันก็คือ”ถ่ายรูปกับเด็กชาวเขามั้ยคะ แล้วแต่น้ำใจจะให้ค่ะ”
พอขึ้นไปได้ไม่ไกลนัก ก็เริ่มสัมผัสถึงธรรมชาติอันงดงามแต่จะมัวช้าไม่ได้ ต้องเร่งฝีเท้าเพราะอาจพลาดการชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก ไม่ได้มีฉันคนเดียวหรอกที่กำลังมุ่งมั่นที่จะขึ้นไปชมทะเลหมอก ผู้คนประมานสามถึงสี่ร้อยคน ทยอยกันมาเรื่อยๆ ด้านบน มีจุดชมวิวหลายที่ และฉันก็เลือกที่ๆอยู่ด้านบนสุด เพราะจะได้มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน ปุยหมอกสีขาวมากมายดั่งทะเลทำให้ฉันหายเหนื่อยจากการเดินทาง และไม่นานนักแสงแรกของวันก็เริ่มสาดส่องขึ้นมาทีละนิด ทีละนิด อย่างสวยงาม เสียงชัตเตอร์ลั่นไม่หยุดจากกล้องที่มีอยู่ในมือเกือบทุกคน ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นทะเลหมอก และแสงสีทองที่สาดส่องให้ผู้ที่รอคอยได้ชื่นหัวใจ และไม่ผิดหวังที่บากบั่นขึ้นมารอชม
ชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ที่ดอยแม่สลอง
บนเส้นทางที่คดเคี้ยวแต่ไม่ถึงขนาดปาย แต่สวยงามไม่แพ้ปาย สองข้างทางที่ได้เดินทางเข้าสู้เส้นทางไปดอยแม่สลองแห่งนี้ มีแต่ขุนเขาที่สลับซับซ้อนที่เรียงตัวกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่สวยงามจนสุดจะบรรยาย ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ก็เริ่มเห็นไร่ชา ที่เป็นอาชีพหลักของคนที่นี่ และเดินทางผ่านไร่ชา101 ไร่ชาชื่อดัง จากประวัติเล่าว่าผู้ที่ริเริ่มปลูกชา ก็คือ นายพลต้วน
ไม่น่าเชื่อว่าดอยแม่สลองแห่งนี้ จะเป็นสถานที่ๆสวยงามอย่างที่ฉันและอีกหลายๆคนคาดไม่ถึง ดอกซากุระบานสะพรั่งสองข้างทางเหมือนได้ไปญี่ปุ่น ชิมชาอู่หลงที่หอมกรุ่นและมีคุณค่าจากไร่ชาต่างๆ เช่น ไร่ชา 101 ไร่ชาวังพุธตาล ที่มีสิงโตเงินสิงโตทองและกาชงชาเงินกาชงชาทองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวอีกที่หนึ่ง
มาช่วงหน้าหนาวทั้งที คงจะพลาดไม่ได้ที่จะนอนเต้นท์ และที่นี่ก็มีสถานที่ให้กางเต้นมากมาย และก็เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากๆด้วย เนื่องจากรีสอร์ทและโรงแรมต่างก็เต็มหมด
นักท่องเที่ยวต่างพากันมาสัมผัสบรรยากาศหนาว ถึงหนาวมากๆ ณ ที่แห่งนี้ และร่วมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันที่นี่ โดยมีการจุดพลุดอกไม้ไฟ และปล่อยโคมลอย ซึ่งปล่อยไปตามแรงลม และแสงเล็กๆจากโคมลอย ท่ามกลางความมืดอันกว้างใหญ่ของท้องฟ้า ก็ทำให้ฉันพบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ประทับใจไม่รู้ลืม บนดอยแม่สลองแห่งนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)